การฉีดโบท็อก ถือเป็นหัตถการหนึ่งที่นิยมมากในปัจจุบัน แต่รู้หรือไม่ว่า นอกจากการฉีดโบท็อกจะมีประโยชน์ทางด้านความงามแล้ว ยังมีประโยชน์ทางด้านการแพทย์อีกด้วย
บทความนี้จะอธิบายว่า โบท็อกนั้นมีประโยชน์อย่างไร เหมาะกับใคร ฉีดจุดไหนได้บ้าง และมีข้อควรระวังอย่างไร รวมถึงอันตรายที่เกิดจากการฉีดโบท็อกปลอม
โบท็อก คืออะไร ?
โบท็อก (Botox) แท้จริงแล้วเป็นชื่อทางการค้าของสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin type A) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) มีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่หดตัว เมื่อฉีดโบท็อกแล้วกล้ามเนื้อบริเวณนั้นจะอ่อนแรงลง เดิมทีนำมารักษากล้ามเนื้อคอกระตุก กล้ามเนื้อตากระตุก รวมถึงอาการปวดไมเกรน กระทั่งองค์การอาหารและยาสหรัฐ (US FDA) รับรองการใช้โบท็อกเพื่อการลดริ้วรอยหน้าผากและรอยตีนกา จึงทำให้โบท็อกถูกพัฒนานำมาใช้ในวงการหัตถการความงามอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ฉีดโบท็อก เหมาะกับใคร ?
- ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอย
- ผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัด ต้องการปรับรูปหน้า
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ต้องการยกกระชับ
- ผู้ที่มีต้องการลดขนาดกล้ามเนื้อในบริเวณต่าง ๆ เช่น กราม แขน น่อง
- ผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน
- ผู้ที่มีอาการออฟฟิศซินโดรม
ฉีดโบท็อก ฉีดจุดไหนได้บ้าง ?
โบท็อก สามารถฉีดได้หลายจุด ดังนี้
- ฉีดโบท็อกลดกราม
- ฉีดโบท็อกลดริ้วรอย
- ฉีดโบท็อกรักแร้
- ฉีดโบท็อกลดเหงื่อ
- ฉีดโบท็อกปีกจมูก
- ฉีดโบท็อกยกหางตา
- ฉีดโบท็อกลิฟหน้า
- ฉีดโบท็อกหน้าผาก
- ฉีดโบท็อกยกมุมปาก
- ฉีดโบท็อกตีนกา
- ฉีดโบท็อกน่อง
- ฉีดโบท็อกระหว่างคิ้ว
- ฉีดโบท็อกกระชับรูขุมขน
- โบท็อกลดโหนกแก้ม
- โบท็อกแขน
- โบท็อกไมเกรน
- โบท็อกออฟฟิศซินโดรม
สารพัดประโยชน์จากการฉีดโบท็อก
การฉีดโบท็อกนั้นมีประโยชน์หลากหลายด้าน โดยสามารถจำแนกตามจุดประสงค์ของการฉีดได้ ดังนี้
1.เพื่อลดเลือนริ้วรอย
เป็นการใช้โบท็อกในปริมาณน้อย ๆ กับกล้ามเนื้อมัดเล็ก ๆ เพื่อหวังผลในการลดเลือนริ้วรอย เช่น ริ้วรอยบริเวณตีนกา รอยย่นหน้าผาก รอยย่นหว่างคิ้ว หรือรอยย่นบริเวณสันจมูก ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งกลายเป็นริ้วรอยเหล่านี้ กลับมาเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
2.เพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อ
เป็นการใช้โบท็อกในปริมาณที่เยอะขึ้น กับกล้ามเนื้อมัดที่ใหญ่ขึ้น เพื่อหวังผลให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นมีขนาดที่เล็กลงหรือคลายตัวออก อย่างการฉีดโบท็อกกราม จะทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยวอาหารมีขนาดเล็กลง หน้าดูเรียวและสวยขึ้น เช่นเดียวกับการฉีดโบท็อกลดน่อง ที่จะฉีดโบท็อกไปยังกล้ามเนื้อบริเวณน่อง เพื่อให้ออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อน่องที่โตมีขนาดเล็กลงและขาเรียวสวยมากขึ้นได้
นอกจากนี้ โบท็อกยังใช้ในการรักษาอาการออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) สำหรับผู้ที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ มีอาการปวดคอ ตึงคอ ตึงไหล่ ตึงบ่า ก็สามารถใช้โบท็อกในการคลายกล้ามเนื้อบริเวณส่วนนี้ออก ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดคอจากออฟฟิศซินโดรมได้
3.เพื่อยกกระชับ
เป็นการนำโบท็อกปริมาณน้อย ๆ มาฉีดตื้น ๆ ลงบนผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิว หรือที่เราเรียกว่า Botox Lifting หรือโบท็อกลิฟกรอบหน้า เพื่อหวังผลในการกระตุ้นคอลลาเจนและให้ผิวบริเวณกรอบหน้ายกกระชับขึ้น
สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือผิวแห้งเหี่ยวนั้น สามารถใช้โบท็อกในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมา ให้ผิวกระชับขึ้นได้ แต่หากผิวหย่อนคล้อยมาก การใช้โบท็อกลิฟก็อาจไม่เพียงพอ อาจต้องพึ่งการทำ HIFU ร้อยไหม หรือวิธีการอื่น ๆ เพื่อสร้างคอลลาเจน ให้ผิวมีความกระชับขึ้น
4.เพื่อแก้อาการปวดหัวไมเกรน
เป็นการฉีดโบท็อกไปที่บริเวณใบหน้าระหว่างคิ้ว หน้าผาก ท้ายทอย ต้นคอ และบ่า เพื่อช่วยลดอาการปวดศีรษะ ทั้งยังช่วยบรรเทาความรุนแรงและทำให้ความถี่ของอาการปวดศีรษะลดน้อยลงได้ เนื่องจากยาจะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาท ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการผ่อนคลาย
5.เพื่อลดเหงื่อ
โบท็อกไม่เพียงแต่จะยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ปลายประสาทที่ถูกยับยั้งยังเป็นปลายประสาทชนิดเดียวกับที่กระตุ้นต่อมเหงื่อด้วย ดังนั้น โบท็อกจึงนำมาใช้เพื่อรักษาภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และยังสามารถลดกลิ่นตัวจากเหงื่อในผู้ป่วยภาวะนี้ได้ด้วย
ข้อควรระวังในการฉีดโบท็อก
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ตรงตามความต้องการนั้น เราจำเป็นที่จะต้องรู้ข้อควรระวังในการฉีดโบท็อกก่อน ซึ่งการฉีดโบท็อกมีข้อควรระวัง ได้แก่
ก่อนฉีดโบท็อก
- เลือกใช้โบท็อกแท้เท่านั้น
- ก่อนฉีดควรให้แพทย์ผสมโบท็อกต่อหน้าทุกครั้ง
- ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง
- ไม่ควรฉีดโบท็อกเกินครั้งละ 300 ยูนิต
- ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ หรือโรคประจำตัวอื่น ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีดทุกครั้ง
- ก่อนฉีดควรแจ้งประวัติการฉีด หรือประวัติการแพ้/ดื้อโบท็อกให้แพทย์ทราบทุกครั้ง
หลังฉีดโบท็อก
- หลังฉีดโบท็อกควรรีบขยับกล้ามเนื้อที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง เพื่อให้ยากระจายเข้ากล้ามเนื้อได้มากขึ้น
- ควรทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี จะทำให้โบท็อกออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
- งดนอนราบหรือนอนตะแคง 3 ชั่วโมงหลังฉีด เพราะจะทำให้ตัวยากระจายไปยังจุดอื่น
- หลีกเลี่ยงความร้อนและกิจกรรมกลางแจ้ง
- งดอาหารรสจัดและอาหารหมักดอง
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรืออาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ เช่น ปิ้งย่าง ชาบู
- งดจับ บีบ หรือนวดหน้า 2 สัปดาห์หลังฉีด เพราะอาจมีผลต่อการกระจายตัวของโบท็อกได้
ฉีดโบท็อกปลอม อันตรายอย่างไร ?
คนไข้บางรายอาจจะเห็นแก่โปรโมชั่นที่ราคาถูกจนไม่ได้คำนึงถึงอันตรายที่เกิดจากการฉีดโบท็อกปลอม บ้างก็ไปฉีดกับหมอกระเป๋าซึ่งขาดความรู้และประสบการณ์ที่เพียงพอ ไม่รู้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง บ้างก็ไปนำยาหิ้ว ซึ่งไม่ได้มาตรฐานทั้งในเรื่องของคุณภาพและการเก็บรักษามาฉีด โดยที่หารู้ไม่ว่า การฉีดโบท็อกปลอมนั้นอันตรายกว่าที่คิด ส่งผลต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้
- เมื่อฉีดโบท็อกปลอม ซึ่งเป็นตัวยาที่ไม่บริสุทธิ์ ร่างกายจะเกิดการกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านโบท็อก หรือที่เรียกว่าการดื้อโบท็อก ทำให้ฉีดโบท็อกแล้วไม่เห็นผล กรามไม่ลดลง หน้าไม่กระชับ โบท็อกหมดฤทธิ์ไว
- โบท็อกปลอมจะมีการกระจายตัวที่ค่อนข้างกว้าง ทำให้ตัวยาอาจกระจายไปโดนกล้ามเนื้อมัดอื่น ส่งผลให้หนังตาตก ปากเบี้ยวได้
- ความไม่บริสุทธิ์ของยา ทำให้เสี่ยงต่อการแพ้โบท็อก
- เสี่ยงต่อการดื้อยา ทำให้ต้องฉีดโบท็อกบ่อยขึ้น
- การดื้อโบท็อก ยังเป็นภาวะที่ยังไม่มีทางรักษา
สรุป ฉีดโบท็อก
การฉีดโบท็อก สามารถช่วยแก้ปัญหาได้หลากหลาย แต่ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล นอกจากควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงแล้ว การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน หากเราปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้ดี แต่ยังช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้นด้วย